การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางและศึกษาเสนอแนะการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนแบ่งเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า
1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางมีค่าเฉลี่ย 2.89 คิดเป็นร้อยละ 57.80 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย พบว่า อันดับแรกคือ ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง ค่าเฉลี่ย 3.44 คิดเป็นร้อยละ 68.80 อันดับสองคือ ด้านการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง ค่าเฉลี่ย 3.09 คิดเป็นร้อยละ 61.80 อันดับสามคือ ด้านการแสดงความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมือง ค่าเฉลี่ย 2.77 คิดเป็นร้อยละ 55.40 อันดับสี่คือ ด้านการร่วมรณรงค์ทางการเมือง ค่าเฉลี่ย 2.67 คิดเป็นร้อยละ 53.40
2. ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ได้แก่ ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของนักศึกษา เนื่องจากปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตย และเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการเมืองให้กับนักศึกษา และพบว่านักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มีระดับของการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.09 (S.D. 0.83) คิดเป็นร้อยละ 61.80 ไม่เพียงพอต่อความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตย ที่จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มีดังนี้ควรรณรงค์ให้นักศึกษาออกมาใช้สิทธิใช้เสียงให้มากที่สุด ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้นักศึกษาเลือกคนที่ดีมีศักยภาพในการทำงานควรสร้างความเข้าใจให้แก่นักศึกษาว่า การชุมนุมทางการเมืองเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง ควรมีองค์กรอิสระที่เข้มแข็งในการตรวจสอบการดำเนินงานของกลุ่มการเมืองควรมีการส่งเสริมให้นักศึกษาเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และรู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

---

คำสำคัญ : การมีส่วนร่วมทางการเมือง, ความสนใจทางการเมือง, ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง

งานวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก 2.) ศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่าง ประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x-bar) ค่าร้อยละ (Percentage) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (Standard Deviation)
ผลการศึกษา พบว่า 1) ภาพรวมของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.09 (S.D. = 0.95) เมื่อเรียงลำดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในแต่ละด้านจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย พบว่า ด้านพฤติกรรมทางการเมืองอยู่ในระดับมากที่สุด (x-bar = 4.25) ด้านการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง อยู่ในระดับปานกลาง (x-bar = 2.82) ด้านช่องทางการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง อยู่ในระดับปานกลาง (x-bar = 2.77) ด้านความสนใจทางการเมืองอยู่ในระดับน้อย (x-bar = 2.53) 2) รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก จากผลการศึกษา พบว่า ประชาชนในตำบลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ส่วนใหญ่มีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบของการเลือกตั้งมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.05 และเป็นรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบเดียว ที่ประชาชนให้ความร่วมมือและให้ความสนใจ บทบาทในการแสดงออกทางการเมืองและการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบอื่น ๆ ยังคงอยู่ในระดับน้อยถึงน้อยที่สุด

---

คำสำคัญ : การมีส่วนร่วมทางการเมือง, ความสนใจทางการเมือง, การเลือกตั้ง, รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายสุราก้าวหน้าของ พรรคก้าวไกล กรณีศึกษาอำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง และเพื่อเสนอแนะข้อคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบาย สุราก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล กรณีศึกษาอำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เชิงปริมาณ คือ ประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองลำปางจังหวัดลำปาง จำนวน 400 คน ได้มาโดยการสุ่มลงพื้นที่ เก็บข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นแบบสอบถามแบบสอบถามมีลักษณะ เป็นแบบสอบถาม ปลายเปิดมีทั้งหมด 3 ส่วน ส่วนที่1 เป็นข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ รายได้ต่อเดือน สถานภาพสมรส เป็นต้น ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบาย สุราก้าวหน้า มีทั้งหมด 4 ด้าน 1) ด้านการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายสุราก้าวหน้า 2) ด้านนโยบาย 3) ด้านกฎหมาย 4) ด้านสังคม ส่วนที่3 เป็นข้อเสนอแนะ สามารถตอบได้อย่างอิสระ เกี่ยวกับนโยบายสุรา ก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล เพื่อให้ทราบข้อคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายสุราก้าวหน้ามากขึ้น
ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายสุราก้าวหน้าอำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งมีด้านนโยบาย ด้านกฎหมาย ด้านสังคม อยู่ในระดับมาก และด้านการรับรู้ข่าวสาร เกี่ยวกับนโยบายสุราก้าวหน้า อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อแยกแบบสอบถามในด้านต่างๆ โดยเรียงลำดับจากมากไป น้อยดังนี้ ด้านนโยบาย ความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายสุราก้าวหน้า ด้านนโยบายมีความคิดเห็น อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.05 (S.D.=0.89) คิดเป็น ร้อยละ 81.00 โดยมากที่สุดในเรื่องนโยบายสุราก้าวหน้า สามารถทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้ ค่าเฉลี่ย 4.16 ด้านสังคม ความคิดเห็นของประชาชนต่อ นโยบายสุราก้าวหน้า ด้านสังคมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับ มาก ค่าเฉลี่ย 4.00 (S.D.=0.86) คิดเป็น ร้อยละ 80.00 โดยมากที่สุดในเรื่องหาก พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าผ่านเป็นกฎหมายจะทำให้เกิด ผลิตภัณฑ์ชุมชน ค่าเฉลี่ย 4.13 ด้านกฎหมาย ความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายสุราก้าวหน้า ด้านกฎหมายมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.93 (S.D.=0.89) คิดเป็น ร้อยละ 78.60 โดยมากที่สุดในเรื่องนโยบายสุราก้าวหน้าควรผ่านเป็นกฎหมาย ค่าเฉลี่ย 4.01และด้านการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายสุราก้าวหน้า ความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบาย สุราก้าวหน้า ด้านการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายสุราก้าวหน้า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.33 (S.D.=1.08) คิดเป็น ร้อยละ 66.60 โดยมากที่สุดในเรื่องการรับข่าวสารจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ค่าเฉลี่ย 3.38

---

คำสำคัญ : ความคิดเห็น, นโยบายสุราก้าวหน้า, อำเภอเมือง

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับธรรมชาติจากนิทานพื้นบ้านของ ชาวจีนจากนิทานชุด ปู่เคราขาว เขียนโดย Yang Guangcheng แปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ แสงดาว จำนวน 11 เรื่อง แต่ในการศึกษาครั้งนี้เลือกแบบเจาะจงเฉพาะนิทานพื้นบ้านชาวไต จำนวน 5 เรื่อง จากนั้นวิเคราะห์ด้วยกระบวนทัศน์ 4 ประการ ได้แก่ ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ มนุษย์ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ มนุษย์เรียนรู้จากธรรมชาติ และนักเขียนเคารพต่อธรรมชาติ ผลการศึกษาพบว่า นิทานพื้นบ้านชนชาติไตที่ คัดเลือกมามีเนื้อหาที่แสดงถึงความสำคัญของธรรมชาติทั้ง 4 ด้านทั้งความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติคุณค่าของสัตว์ป่า อีกทั้งแสดงแนวคิดว่า ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ มนุษย์จึงควรเคารพและพึ่งพาธรรมชาติ นอกจากนี้ นิทานพื้นบ้านชาวไตยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเช่น เทวดา ของวิเศษและมีแบบเรื่อง คล้ายคลึงกับนิทานพื้นบ้านของไทย

---

คำสำคัญ : นิทานพื้นบ้าน, ชนชาติไทย, สำนึกนิเวศ, ปู่เคราขาว

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเชื่อและข้อห้ามที่สัมพันธ์กับการรับประทานอาหารในช่วงวัย ต่าง ๆ ของชาวจีนโดยการเก็บข้อมูลจากเ.อกสารและเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจำนวน 200 รายชื่อ และคัดเลือกเฉพาะ รายชื่ออาหารต้องห้ามที่สัมพันธ์กับความเชื่อและช่วงชีวิต 5 ระยะ ได้แก่ วัยเด็ก วัยกลางคน วัยชรา ขณะตั้งครรภ์ และขณะเจ็บป่วย แนวคิดในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย ความเชื่อ แพทย์แผนจีน และแพทย์แผนปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า อาหารต้องห้ามแต่ละช่วงวัยของชาวจีนแต่ละช่วงชีวิต มีทั้งสิ้น 50 รายชื่อ แบ่งเป็น2 ลักษณะ คือ ความเชื่อที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์ทางภาษา 36 ชื่อ เช่น ตีนไก่ กินแล้วจะทำให้ลายมือไม่สวยข้อห้าม ทางการแพทย์ 14 ชื่อ เช่น น้ำตาล กินแล้วเลือดจะข้น อาหารต้องห้ามเหล่านี้จึงสัมพันธ์กับความหมาย ทางภาษามากกว่าผลพิสูจน์ทางการแพทย์

---

คำสำคัญ : อาหารต้องห้าม, ชาวจีน, การแพทย์แผนจีน, ความเชื่อ, อาหารเป็นยา

การร้องเพลงสำหรับเด็กเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน และยังเป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพราะการร้องเพลงช่วยเสริมสร้างทักษะทางด้านภาษา ความคิดสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางอารมณ์ นอกจากนี้ การเรียนรู้เพลงยังสามารถพัฒนาความมั่นใจและการทำงานร่วมกันในกลุ่มได้อีกด้วย ในบทความนี้ ได้นำเสนอแนวคิดเบื้องต้นในการสอนเด็กร้องเพลงให้มีประสิทธิภาพ โดยอธิบายเรื่องความสำคัญในการสอนเด็ก ร้องเพลง องค์ประกอบของการสอนร้องเพลงให้เด็ก การฝึกร้องเพลงสำหรับเด็ก จิตวิทยาในการสอนร้องเพลงเด็ก ปัญหาที่พบและวิธีแก้ปัญหา ประโยชน์ของการร้องเพลงสำหรับเด็ก และบทเพลงที่เหมาะสม เพราะการสร้าง บรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนาน และการใช้เทคนิคการสอน ที่สามารถกระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมและเรียนรู้ ได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังได้เชื่อมโยงระหว่างการหาวิธีการสอนเด็กร้องเพลงไปถึงจิตวิทยาเด็กที่ผู้สอนควรมี ความเข้าใจในตัวเด็กให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

---

คำสำคัญ : แนวคิด, การสอนร้องเพลง